ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ธุรกิจไทยขยายตลาดไปญี่ปุ่น” กลายเป็นคำที่ได้ยินบ่อยขึ้นในวงการผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทอาหาร เครื่องสำอาง ของใช้ในบ้าน หรือสินค้าหัตถกรรม – ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเข้มงวดเรื่องมาตรฐาน เอกสาร และการขนส่ง
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักขั้นตอนการ ส่งออกสินค้าจากไทยไปญี่ปุ่นแบบครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร ภาษีนำเข้า ไปจนถึงการจัดการโลจิสติกส์ เพื่อให้ผู้ประกอบการมือใหม่เข้าใจและเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ
ทำไม “ตลาดญี่ปุ่น” ถึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจไทย
ความต้องการสินค้าคุณภาพสูงจากไทยเพิ่มขึ้น
คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ “คุณภาพและความปลอดภัย” ของสินค้าเป็นอย่างมาก และประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตที่ได้รับความเชื่อถือ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูป อาหารทะเล ผลไม้แห้ง เครื่องสำอางจากธรรมชาติ และของใช้ในบ้านที่มีดีไซน์เฉพาะตัว
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย–ญี่ปุ่นที่มั่นคง
ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ผ่านกรอบความตกลง JTEPA (Japan–Thailand Economic Partnership Agreement) ทำให้สินค้าหลายประเภทได้รับ สิทธิ์ลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของผู้ส่งออกไทย
พฤติกรรมผู้บริโภคญี่ปุ่นเปิดรับสินค้าต่างชาติ
ผู้บริโภคญี่ปุ่นรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับสินค้าจากเอเชีย โดยเฉพาะสินค้าที่มี “เรื่องราว” หรือ “คาแรกเตอร์เฉพาะ” เช่น ของใช้ทำมือ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก หรือสินค้าที่มีความยั่งยืน (Sustainable Product)
ขั้นตอนสำคัญในการส่งออกสินค้าจากไทยไปญี่ปุ่น
1. เตรียมความพร้อมของธุรกิจ
ก่อนเริ่มส่งออก ผู้ประกอบการควรตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้
- ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า (Product Standard)
เช่น อย., GMP, HACCP หรือ Organic Certification
โดยเฉพาะอาหารและเครื่องสำอาง ญี่ปุ่นมีกฎเข้มงวดเรื่องส่วนประกอบและฉลาก - กำหนด HS Code ให้ถูกต้อง
HS Code (Harmonized System Code) คือรหัสสินค้าใช้ระบุในเอกสารส่งออกและภาษีนำเข้า หากระบุผิดอาจเกิดปัญหาที่ศุลกากรหรือถูกเรียกภาษีเพิ่ม - เตรียมแผนโลจิสติกส์
เลือกว่าจะส่งทางเรือหรือทางอากาศ โดยพิจารณาจากน้ำหนัก ปริมาณ และระยะเวลาที่ต้องการให้สินค้าถึงปลายทาง
2. เอกสารที่จำเป็นในการส่งออก
- Commercial Invoice (ใบกำกับการค้า)
แสดงรายละเอียดของผู้ซื้อ–ผู้ขาย รายการสินค้า ปริมาณ ราคา และเงื่อนไขการชำระเงิน - Packing List (บัญชีบรรจุสินค้า)
ระบุจำนวนกล่อง น้ำหนัก รวมถึงขนาดบรรจุภัณฑ์ ใช้สำหรับตรวจสอบในขั้นตอนศุลกากร - Bill of Lading (ใบตราส่งสินค้า)
เอกสารที่ออกโดยบริษัทขนส่ง ใช้ยืนยันว่ามีการรับสินค้าขึ้นเรือหรือเครื่องบินแล้ว - Certificate of Origin (ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า)
สำหรับสินค้าที่ต้องการใช้สิทธิ์ลดภาษีตาม JTEPA ต้องยื่นขอเอกสารนี้จากกรมการค้าต่างประเทศ - อื่น ๆ ตามประเภทสินค้า
เช่น ใบอนุญาต อย., ใบรับรองสุขอนามัยจากกรมปศุสัตว์, ใบตรวจคุณภาพสินค้า
3. การคำนวณภาษีและค่าใช้จ่ายนำเข้า
ญี่ปุ่นมีระบบภาษีนำเข้าที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยขึ้นอยู่กับชนิดสินค้าและแหล่งที่มา
- อัตราภาษีนำเข้าทั่วไป: 0–10%
- สินค้าที่ได้รับสิทธิ JTEPA: อาจได้รับ “ยกเว้นภาษี” หรือ “ลดอัตราภาษี”
- VAT ของญี่ปุ่น (Consumption Tax): ปัจจุบันอยู่ที่ 10%
📌 ตัวอย่าง:
สินค้าประเภทอาหารแปรรูปที่มี HS Code อยู่ในกลุ่ม “Processed Food” หากใช้สิทธิ JTEPA อัตราภาษีอาจลดจาก 8% เหลือ 0%
ผู้ส่งออกควรตรวจสอบอัตราภาษีล่าสุดผ่านเว็บไซต์ของ Japan Customs หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีระหว่างประเทศ
4. การเลือกวิธีขนส่งและโลจิสติกส์
การขนส่งสินค้าจากไทยไปญี่ปุ่นสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก
| ประเภทการขนส่ง | จุดเด่น | เหมาะสำหรับ |
|---|---|---|
| ทางเรือ (Sea Freight) | ราคาประหยัด เหมาะกับสินค้าจำนวนมาก | สินค้าไม่เร่งด่วน เช่น ของใช้ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ |
| ทางอากาศ (Air Freight) | รวดเร็ว ปลอดภัย | สินค้าราคาแพงหรือเน่าเสียง่าย เช่น อาหารสด, เครื่องสำอาง |
ผู้ส่งออกควรเลือกบริษัทโลจิสติกส์ที่มีประสบการณ์ด้าน ญี่ปุ่น และสามารถให้บริการ DPU / DDP (Delivered Duty Paid) เพื่อความสะดวกด้านภาษีและเอกสารปลายทาง
การสื่อสารและเจรจากับคู่ค้าญี่ปุ่นอย่างมืออาชีพ
1. มารยาททางธุรกิจสำคัญ
วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความสุภาพและความตรงต่อเวลา การส่งอีเมล คำทักทาย และการเสนอราคาควรมีโครงสร้างชัดเจน ไม่ใช้ถ้อยคำตรงเกินไป
ตัวอย่างเช่น
“We would be honored to collaborate with your company.”
แทน “We want to sell our product to you.”
2. เอกสารเสนอราคาควรเป็นสองภาษา
เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แนะนำให้ใช้เอกสารที่มีทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น (หรือภาษาไทย–ญี่ปุ่น) พร้อมระบุเงื่อนไขอย่างชัดเจน เช่น Incoterms, Payment Term, และ Lead Time
3. ใช้ตัวแทนหรือที่ปรึกษาในญี่ปุ่นช่วยประสานงาน
หากผู้ประกอบการยังไม่คุ้นเคยกับตลาดญี่ปุ่น การมี ที่ปรึกษาท้องถิ่น (Local Agent) จะช่วยลดความเสี่ยง ทั้งในการสื่อสาร การเจรจา และการทำเอกสารศุลกากร
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการขยายตลาดไปญี่ปุ่น
- เข้าใจตลาดเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง
ผู้บริโภคญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และเรื่องราวของสินค้า - สร้างความน่าเชื่อถือด้วยมาตรฐาน
เช่น การขอใบรับรองจากหน่วยงานญี่ปุ่น (เช่น JAS, JHFA) จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของคู่ค้า - ใช้กลยุทธ์ Omni-channel
ผสมผสานการขายผ่านตัวแทน, เว็บไซต์ญี่ปุ่น, และแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Rakuten, Amazon Japan - วางแผนระยะยาว (อย่างน้อย 6–12 เดือน)
การเจาะตลาดญี่ปุ่นต้องใช้เวลา ควรวางแผนต่อเนื่อง ตั้งแต่ทดสอบตลาดจนถึงการขยายเครือข่ายคู่ค้า
สรุป — เริ่มต้นส่งออกได้อย่างมั่นใจกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
การ “ขยายธุรกิจไทยไปญี่ปุ่น” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากเตรียมความพร้อมอย่างถูกต้อง ตั้งแต่เอกสาร ภาษี ไปจนถึงโลจิสติกส์
หากคุณต้องการผู้ช่วยที่เข้าใจทั้ง ภาษาญี่ปุ่น–ไทย–อังกฤษ และมีประสบการณ์จริงในภาคสนามกว่า 18 ปี
Withthai International Co., Ltd. พร้อมให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ตั้งแต่ วางกลยุทธ์–หาคู่ค้า–เจรจา–ส่งออกจริง
“จากประสบการณ์จริงในสายส่งออกกว่า 13 ปี เราเชื่อว่า ความเข้าใจในวัฒนธรรมทั้งสองประเทศ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการขยายตลาด”
🔖 คำหลักที่ใช้ในบทความ
ธุรกิจไทยขยายตลาดไปญี่ปุ่น, ส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่น, ขั้นตอนส่งออก, ภาษีนำเข้าญี่ปุ่น, เอกสารส่งออก, โลจิสติกส์ระหว่างประเทศ, JTEPA, ขายสินค้าในญี่ปุ่น, ที่ปรึกษาการส่งออก, Withthai International

コメント